ตั้งแต่ปี 2020 ที่ผ่านมาที่มีโรคระบาด covid-19 ทำให้รัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโดยการสั่งห้ามออกนอกเคหะสถานและการชุมนุมใดๆ ทำให้การเข้าออฟฟิศนั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามเช่นกัน หลายๆ บริษัทต้องรีบปรับตัวเพราะในขณะนั้นยังมีการเข้าทำงานที่ออฟฟิศทุกวันและยังไม่ได้มีระบบรองรับการทำงานนอกออฟฟิศมาก่อน นี่อาจเป็นครั้งแรกของหลายๆ คนที่ได้ทำงานจากที่บ้าน และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับการทำงานจากที่ใดก็ได้ (work from anywhere)
Gen Y และ Gen Z กับการทำงานยุคใหม่
โดยเฉพาะคนยุค Gen Y (1980-1997) และ Gen Z (1998-2024) ที่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีในการเรียนและการทำงานเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะ gen z ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานในออฟฟิศ 5 วันต่อสัปดาห์มาก่อน ทำให้คนในยุคนี้ค่อนข้างที่จะตั้งคำถามถึงการที่จะต้องเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศและมักจะเลือกสถานที่ทำงานหรือบริษัทที่ยืดหยุ่นวันและเวลาในการเข้าทำงาน
การปรับตัวของบริษัทและการลดความต้องการใช้งานพื้นที่ออฟฟิศ
หลายๆ บริษัทในขณะนี้ก็ปรับตัวตามทันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ความต้องการในการใช้งานพื้นที่ออฟฟิศในกรุงเทพนั้นลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด บริษัทข้ามชาติหลายแห่งมีการลดขนาดพื้นที่ลง รวมไปถึงมีการปรับการใช้พื้นที่สำนักงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การใช้ hot desk / hot seat ห้องประชุมที่มีฉากกั้นที่สามารถปรับเป็นห้องขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก หรือแม้กระทั่งเปิดโล่งเพื่อเป็น town hall ได้
การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ว่างในอาคารสำนักงาน
จากเหตุผลดังกล่าวบวกกับการที่ตลาดออฟฟิศสำนักงานอยู่ในช่วงที่มีอาคารสำนักงานแห่งใหม่เกิดขึ้นมากกว่าความต้องการของตลาด จึงเป็นผลทำให้พื้นที่ว่างของอาคารสำนักงานในกรุงเทพนั้นปรับตัวสูงขึ้นถึง 23% ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ความพยายามของบริษัทในการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ
อย่างไรก็ตาม หลายๆ บริษัทเริ่มมีความพยายามที่จะออกกฎระเบียบเพื่อบังคับให้พนักงานทุกคนกลับมาทำงานที่ออฟฟิศตั้งแต่ต้นปี 2024 ทั้งนี้ บริษัทเหล่านั้นยังคงเผชิญกับปัญหาที่พนักงานไม่พอใจและลาออก เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่นั้นคุ้นเคยกับการทำงานแบบ hybrid และยังคิดว่าการเดินทางไปยังออฟฟิศนั้นเสียเวลา พนักงานเห็นว่าการ work from anywhere นั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับอีกด้วย