Cushman & Wakefield ประเทศไทยได้เปิดเผยตัวเลขต้นทุนอุตสาหกรรมผู้รับเหมาในแต่ละประเทศใน APAC และภาพรวมของตลาดในรายงานการวิจัย FIT Out Cost Guide 2025 Office Fit Out Cost Guide 2025 | Asia Pacific
กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – [17 มีนาคม 2568] – ตลาดออฟฟิศในประเทศไทยยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด อันเป็นผลมาจากโครงการพัฒนาใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นและแนวโน้มความต้องการของผู้เช่าอาคารสำนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าพื้นที่สำนักงานใหม่ ๆ จะช่วยปรับภาพลักษณ์ตลาดสำนักงานของกรุงเทพฯ แต่แนวโน้มในตลาดชี้ให้เห็นว่าหลายธุรกิจมีการลดขนาดพื้นที่เช่าและปรับกลยุทธ์พื้นที่ทำงานให้เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป
หนึ่งในโครงการสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ One Bangkok ซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 และถนนวิทยุ โดยโครงการนี้จะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรด A 150,000 ตารางเมตร ภายใน Signature Tower ซึ่งมีความสูง 430 เมตร และจะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยเมื่อแล้วเสร็จในปี 2028 อีกหนึ่งโครงการสำคัญคือ Phase 2 ของ The Parq บนถนนพระราม 4 และถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่สำนักงานเกรดพรีเมียม 50,000 ตารางเมตร โดยเดิมมีกำหนดแล้วเสร็จระหว่างปี 2024-2025
อย่างไรก็ตาม ตลาดสำนักงานมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากโครงการออฟฟิศขนาดใหญ่หลายโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ให้เช่ารวมกันมากกว่า 200,000 ตารางเมตร ได้มีการเลื่อนแผนก่อสร้างออกไป ส่งผลให้ปริมาณอุปทานใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดระหว่าง ปี 2025 ถึง 2028 ถูกชะลอออกไป ความล่าช้านี้สะท้อนถึงแนวทางที่ระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางความต้องการของผู้เช่าที่เปลี่ยนแปลงไปและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ
แนวโน้มพฤติกรรมของผู้เช่าและโอกาสทางธุรกิจ
ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ประเมินความต้องการพื้นที่ทำงานใหม่ หลายองค์กรเริ่ม ลดขนาดพื้นที่เช่าและปรับใช้โมเดลการทำงานแบบไฮบริด ส่งผลให้เกิดความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับ โซลูชันสำนักงานที่ยืดหยุ่น เช่น Co-working Spaces และ Serviced Offices ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุนและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
แนวโน้มนี้ยังเปิดโอกาสให้เจ้าของอาคารและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถ ปรับเปลี่ยนพื้นที่สำนักงานเดิม ให้เป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ผู้เช่ามากขึ้น เช่น การเพิ่ม พื้นที่ทำงานแบบร่วมมือ (Collaborative Areas), สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness Facilities) และ การออกแบบที่ให้ความสำคัญกับ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) เพื่อดึงดูดผู้เช่าที่มองหาประสบการณ์การทำงานที่มีคุณภาพมากขึ้น
แนวโน้มตลาดออฟฟิศในอนาคต
แม้ตลาดจะมีอุปทานล้น แต่ความต้องการพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมในทำเลศักยภาพยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอาคารที่มี สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย, การออกแบบที่ยั่งยืน และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีขึ้น ในอนาคต เจ้าของอาคารที่สามารถ ปรับตัวให้มีความยืดหยุ่น ลงทุนในประสบการณ์ของผู้เช่า และพัฒนาโครงการแบบ Mixed-Use จะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของตลาดสำนักงาน ความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับแนวโน้มใหม่ๆ ในภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ของประเทศไทยได้